ประเทศที่อุดมไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติ
ในขณะที่ 90% ของประชากรมีส่วนร่วมในการเกษตรน้ำมันและก๊าซร่วม 70%
ของรายได้การส่งออกทั้งหมดและ 60% ของรายได้รัฐบาล
อย่างไรก็ตามความผันผวนของราคาโลกของสินค้าส่งออกดั้งเดิมได้นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในปีล่าสุดในโครงสร้างของเศรษฐกิจ
การท่องเที่ยวที่ดึงดูดความภาคสำคัญที่มีรายได้อัตราแลกเปลี่ยน
การผลิตและการเติบโตในอุตสาหกรรมนี้รัฐบาลได้กำหนดนโยบายใหม่และปรับปรุงสิ่งอำนวยความสะดวก
ความคืบหน้าสำคัญได้ทำในการสื่อสารและการขนส่งและตั้งแต่ปี 1976
อินโดนีเซียได้มีของระบบของดาวเทียมสื่อสารที่มีการเปิดใช้การขยายตัวอย่างรวดเร็วของโทรศัพท์โทรทัศน์และอุปกรณ์การออกอากาศทั้งหมด
27 จังหวัด
อากาศและท่าเรือน้ำมีการขยายเพื่อตอบสนองการจราจรเพิ่มขึ้นในภาคและต่างประเทศทั้งของผู้โดยสารตลอดจนการขนส่ง นอกจากน้ำมันและก๊าซธรรมชาติเหลว
(LNG) ผลิตภัณฑ์ป่าไม้ยางกาแฟชา, ดีบุก,
นิเกิล, coper ผลิตภัณฑ์ปาล์มและปลาให้มีส่วนร่วมสำคัญในการส่งออกรายได้
ในปีล่าสุดจำนวนขั้นตอนที่ได้รับการส่งเสริมและกระตุ้นการส่งออกน้ำมันไม่ซึ่งรวมถึงงานฝีมือ, สิ่งทอ,
โลหะ, ชา, ยาสูบซีเมนต์ปุ๋ยเป็นสินค้าที่ผลิต
เพื่อตอบสนองความต้องการในประเทศอินโดนีเซียพืชชนิดต่างๆประกอบรถยนต์,
รถบรรทุกรถโดยสารและรถจักรยานยนต์ภายใต้ใบอนุญาตจากผู้ผลิตต่างประเทศ
ผลิตยังมีอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า
อุตสาหกรรมการบินได้รับการปลูกและสายการผลิตใหม่จะมา stream - on และ Universal บำรุงรักษาของศูนย์การยกเครื่องของอากาศยาน
เครื่องบินสำหรับใช้ในประเทศรวมทั้งการส่งออก ในภาคเกษตรกรรม, อินโดนีเซียได้กลายเป็นตัวเองเพียงพอในข้าวและไม่จำเป็นต้องนำเข้าอาหารหลักตามที่ได้สำหรับปี
ในอินโดนีเซียออกมาเสียจากวิกฤตเริ่มที่จะจับปลาย 2008
นิคมอุตสาหกรรมมีอยู่ในเกือบทุกจังหวัดของอินโดนีเซีย
นิคมอุตสาหกรรมขนาดใหญ่พบใน Jakarta, ตะวันตก Java (เบกาซี, Karawang, Purwakarta), Banten (Tangerang, Serang), ศูนย์กลาง Java (เซมารัง, Cilacap), โร (Piyungan), East Java (Surabaya, Gresik, Sidoarjo, Pasuruan ,
Probolinggo), ทางทิศเหนือSumatera (Medan), ตะวันตก
Sumatera (Padang), Lampung, Kaลิมาntan เรียว (เกาะบาตัมเกาะบินตัน), ภาคใต้Sulawesi
(Makassar) และตะวันออก(Bontang) เขตคลังสินค้าทัณฑ์บน
การท่าเรือกรุงจาการ์ตาเป็นเมืองท่าที่ใหญ่ที่สุดในอินโดนีเซียและเป็นหนึ่งในท่าเรือที่ใหญ่ที่สุดในลุ่มน้ำ
Java ทะเลมีกำลังการจราจรปีประมาณ 45 ล้านตันสินค้าและ
4,000,000 TEU ของ
การลงทุนในอินโดนีเซีย FDI
อินโดนีเซียเป็นประเทศปลายทางการลงทุนสัญญากับทรัพยากรที่มีศักยภาพมากและตลาด
อินโดนีเซียเป็นอันดับที่ 122 จาก 183 เศรษฐกิจ
สิงคโปร์เป็นอันดับบนเศรษฐกิจ ในความง่ายในการทำธุรกิจ อินโดนีเซียเป็นอันดับ 41
โดยรวมสำหรับการปกป้องนักลงทุน
BKPM เป็นหน่วยงานบริการการลงทุนของรัฐบาลอินโดนีเซียที่สร้างด้วยวัตถุประสงค์อย่างมีประสิทธิภาพใช้พระราชบัญญัติของกฎหมายในต่างประเทศรวมทั้งการลงทุนในประเทศ
PT Telekomunikasi ประเทศอินโดนีเซีย Tbk
(TELKOM)
เป็นข้อมูลแบบที่ใหญ่ที่สุดและบริการการสื่อสารและให้บริการเครือข่ายในประเทศอินโดนีเซีย
TELKOM
ให้ wirelines fixed, fixed wireless, cellular รวมทั้งข้อมูลและ อินเทอร์เน็ต
และการบริการเชื่อมต่อเครือข่ายทั้งโดยตรงและผ่าน บริษัท ที่เกี่ยวข้องและ บริษัท
ย่อย ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2007 จำนวนสมาชิก
TELKOM ถึง 63.0 ล้านประกอบด้วย 8.7
ล้านคง wireline และ 6.4 ล้านไร้สายสมาชิก ถาวรและ 47,900,000 สมาชิก cellular
การเจริญเติบโตของสมาชิก TELKOM 29.9% ในปี 2007
สาธารณรัฐอินโดนีเซียเป็นประเทศหมู่เกาะที่ใหญ่ที่สุดในโลกประกอบด้วยเกาะ
17,508 ยาวไป 5,120 กิโลเมตรจากทิศตะวันออกไปทางทิศตะวันตกและ
1,760 กิโลเมตรจากเหนือจรดใต้ กระจายเกาะเหนือกว่า 1
/ 10 ของเส้นศูนย์สูตรระหว่างเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และออสเตรเลียที่ครอบคลุมเนื้อที่ประมาณ
2 ล้านตารางกิโลเมตรและน่านน้ำเกือบสี่ครั้งขนาดที่
ประชากรทั้งหมดของอินโดนีเซียเป็น 222 ล้าน for 2006
130 ล้านคนอยู่บนเกาะชวาเกาะมีประชากรมากที่สุดของโลก
ส่วนใหญ่ (ประมาณ 85%) ของประชากรต่อศาสนาอิสลาม
เสรีภาพในการศาสนาเป็นดำเนินการโดยอินโดนีเซียรัฐธรรมนูญ
บทบาทของอินโดนิเซีนใน อาเซียน
การเข้าเป็นสมาชิกของอาเซียน
อินโดนีเซียเป็นประเทศผู้ร่วมก่อตั้งอาเซียนโดยการร่วมลงนามในปฏิญญากรุงเทพฯ ของนายอาดัม
มาลิก รัฐมนตรีจากกระทรวงการต่างประเทศ ในระยะเริ่มแรกของการก่อตั้งอาเซียน
อินโดนีเซียจัดได้ว่าเป็นชาติที่มีศักยภาพสูงสุดเมื่อเทียบกับประเทศผู้ร่วมก่อตั้งอื่นๆ
เหตุผลที่ประเทศอินโดนีเซียเข้าร่วมอาเซียนในปี 2510 มีปัจจัยสนับสนุนแบ่งเป็น 2 ด้านหลักๆ กล่าวคือ
1) ปัจจัยแวดล้อมทั้งสภาพทางภูมิศาสตร์และสังคม เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้อินโดนีเซียเป็นประเทศที่มีทรัพยากร
มีประชากร และมีพื้นขนาดใหญ่เป็นพี่เบิ้มในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นำไปสู่การเสริมสร้างทัศนคติของอินโดนีเซียที่มองเห็นศักยภาพและความพร้อมของตนเองที่เหนือประเทศในภูมิภาคเดียวกัน
จนเกิดความรู้สึกเลื่อมใสในตัวเอง (self-respect) และรู้สึกว่าตนเองมีความสำคัญ
(self-importance) เหล่านี้ผลักดันให้เข้ามามีบทบาทสำคัญทางการระหว่างประเทศ
2) การเปลี่ยนแปลงนโยบายทางต่างประเทศของอินโดนีเซีย กล่าวคือ ภายหลังได้รับเอกราช
จากเนเธอร์แลนด์ในปี 2488 อินโดนีเซียมีนโยบายต่างประเทศที่เน้นหนักไปในเรื่องความเป็นชาตินิยม
ต่อต้านสหรัฐฯและอดีตจักรวรรดินิยม
ตลอดจนปฏิเสธการที่จะเข้าร่วมเป็นภาคีกับกลุ่มประเทศใด ยึดมั่นในหลักการ “เป็นอิสระและแข็งขัน”
(Independent and Active) ซึ่งนโยบายดังกล่าวเป็นผลจากอิทธิพลและประสบการณ์ในยุคที่อินโดนีเซียอยู่ใต้การปกครองของเนเธอร์แลนด์
ทำให้มีการต่อสู้อย่างมุ่งมั่นเพื่อให้ได้มาซึ่งเอกราชและอธิปไตย ดังนั้น
พฤติกรรมในเวทีการเมืองระหว่างประเทศของอินโดนีเซีย
จึงมีลักษณะไม่ผูกพันกับฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด (Non-Alignment) ส่งผลให้อินโดนีเซียมีความเหินห่างออกจากภูมิภาคและไม่ได้ให้ความสนใจในความเกี่ยวข้องกับประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาค
จนกระทั่งในปี 2508 สมัยของประธานาธิบดีซูฮาร์โต
ภายใต้ยุค “ระบบใหม่” เน้นหลักอาศัยนโยบายการเศรษฐกิจนำการเมือง
หันมาสนใจภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างจริงจัง
และสร้างความร่วมมือภายในภูมิภาค
โดยเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่มีความประนีประนอมมากขึ้น แต่ยังคงยึดมั่นในหลักการ “เป็นอิสระและแข็งขัน” และให้ความสำคัญแก่กลุ่มประเทศไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดอยู่เช่นเดิม
ในขณะที่มีท่าทีต่อเพื่อนบ้านผ่อนปรนมากขึ้น
นำไปสู่ความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านในการก่อตั้งอาเซียน
บทบาทของอินโดนีเซียในอาเซียน
ประเทศอินโดนีเซียในสมัยของประธานาธิบดีซูฮาร์โต ได้มีนโยบายที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม
โดยหันมารื้อฟื้นความสัมพันธ์กับประเทศตะวันตกมากขึ้น
และมีความพยามยามในการร่วมมือในส่วนภูมิภาคมากขึ้น ดังเช่น
การที่อินโดนีเซียประกาศยุติการเผชิญหน้ากับมาเลเซียด้วยหลัก “การยุติปัญหาของชาวเอเชียโดยชาวเอเชียด้วยกันเอง” (Asian Solutions
for Asian Problems)อย่างไรก็ตาม ในช่วงกลางปี พ.ศ.2540-2541 อินโดนีเซียมีปัญหาภายในที่มีสภาวะการผลัดเปลี่ยนผู้นำ
รวมทั้งภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ทำให้บทบาทในอาเซียนของอินโดนีเซียลดลงไป
กระทั่งเริ่มมีบทบาทอย่างสำคัญในอาเซียนอีกครั้งหลังเกิดเหตุการณ์ตึกเวิล์ดเทรดเซ็นเตอร์ถล่ม
เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2544 โดยในช่วงระยะเวลา 1 ปี หลังเหตุการณ์
อินโดนีเซียได้มีบทบาทสำคัญในเวทีระหว่างประเทศในฐานะที่เป็นประเทศที่ถูกเชื่อว่ามีฐานของกลุ่มผู้ก่อการร้ายอยู่ภายในประเทศ ทำให้อินโดนีเซียต้องแสดงบทบาทที่ชัดเจนเกี่ยวกับการต่อต้านการก่อการร้าย
โดยได้ร่วมมือกับอาเซียนในการประกาศใช้ปฏิญญาว่าด้วยความร่วมมือต่อต้านลัทธิการก่อการร้ายปี 2001 (2001 ASEAN Declaration on Joint
Action to Counter Terrorism) นอกจากนี้ยังได้เสนอเป็นผู้จัดการประชุมเชิงปฏิบัติการว่าด้วยการต่อสู้กับลัทธิการก่อการร้ายระหว่างประเทศอีกด้วย
ในด้านบทบาทการเป็นประธานอาเซียน ประเทศอินโดนีเซียได้เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน 3 สมัยด้วยกัน กล่าวคือ
ครั้งที่ 1 เมื่อวันที่ 23-24 กุมภาพันธ์ 2519 ที่เมืองบาหลี มีการประกาศปฏิญญาบาหลีฉบับที่ 1 หรือ Bali Concord
I ซึ่งช่วยวางรากฐานสำคัญให้กับอาเซียน
โดยเสนอวัตถุประสงค์และโครงสร้างของอาเซียนอย่างเป็นรูปธรรมเป็นครั้งแรก
และกำหนดให้มีการจัดตั้งสำนักเลขาธิการอาเซียน ณ กรุงจาการ์ตา
โดยมีการลงนามในสนธิสัญญามิตรภาพและความร่วมมือ เพื่อยึดเป็นพื้นฐานในการแก้ไขข้อพิพาทอย่างสันติ
ครั้งที่ 9 เมื่อวันที่ 7-8 ตุลาคม 2546 ที่เมืองบาหลี
ในครั้งนี้อาเซียนได้ประกาศปฏิญญาบาหลีฉบับที่ 2 ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการก่อตั้งประชาคมอาเซียน ซึ่งกำหนดให้มี 3 เสาหลัก ได้แก่ ประชาคมความมั่นคงและการเมือง ประชาคมเศรษฐกิจ และประชาคมสังคม-วัฒนธรรม
ครั้งที่ 19 เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2554 ที่เมืองบาหลีเช่นกัน อาเซียนมีแผนที่จะออกปฏิญญาบาหลีฉบับที่ 3 ซึ่งจะกำหนดบทบาทและทิศทางของประชาคมอาเซียนในเวทีโลกจะเห็นได้ว่าอินโดนีเซียมีบทบาทนำในอาเซียนมาโดยตลอด
โดยเฉพาะเมื่อดำรงตำแหน่งประธานอาเซียน
อินโดนีเซียมักจะนำเสนอแนวความคิดและโครงการใหม่ต่ออาเซียน
โดยในปี 2554 ที่อินโดนีเซียรับตำแหน่งประธานอาเซียน
อินโดนีเซียได้มีความริเริ่มที่สำคัญ 4 ประการ
ประการแรก คือ การเสนอตัวเป็นคนกลางในการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทระหว่างไทยกับกัมพูชาเรื่องเขตแดนรอบปราสาทเขาพระวิหาร
ประการที่ 2 ความพยายามผลักดันให้พม่าเปิดกว้างทางด้านการเมืองมากขึ้น
และเร่งปฏิรูปประเทศในด้านต่างๆ
เพื่อให้พม่าก้าวทันโลกไปพร้อมกับประเทศอื่นในอาเซียน
ประการที่ 3 การประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออก มีสหรัฐอเมริกา
และรัสเซียเข้าร่วมเป็นครั้งแรก
ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญสำหรับการสร้างระเบียบและสถาบันความร่วมมือในภูมิภาคเอเชียตะวันออก
และวาระที่ชัดเจนมากขึ้น
ประการที่ 4 การริเริ่มการผลักดันให้มีการเจรจาเรื่องเขตแดนในทะเลจีนใต้
จนเกิดปฏิญญาว่าด้วยแนวปฏิบัติของภาคีในทะเลจีนใต้
ซึ่งจะเป็นเครื่องมือที่ช่วยธำรงสันติภาพและเสถียรภาพในทะเลจีนใต้
เป็นการตอกย้ำบทบาทที่สำคัญที่สุดของอาเซียน
ในการสร้างกฎระเบียบเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความขัดแย้งในหมู่ประเทศสมาชิก
ขณะเดียวกันก็ส่งเสริมให้เกิดสันติภาพและเสถียรภาพในภูมิภาคอาเซียน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น